การเลือกซื้อสายสัญญาณเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ใช้งาน (end user) เพราะสายสัญญาณเป็นสิ่งที่จะต้องอยู่กับสำนักงานและอาคารถึง 10-20 ปี เป็นอย่างน้อย ดังนั้นหากเราเลือกสายสัญญาณที่ไม่ได้คุณภาพมาใช้งาน ก็จะส่งผลกระทบในอนาคต เช่น ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ, ติดตั้งได้ระยะทางที่สั้นกว่ามาตรฐาน, ไม่รองรับ PoE, ทดสอบไม่ผ่าน ส่งงานไม่ได้  เป็นต้น

     ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะมาทราบตอนที่เราได้ติดตั้งผ่านไปแล้ว หรือหลังจากใช้งานผ่านไป 1-2 ปี ทำให้ต้องมาแก้ไขปัญหาโดยการรื้อสายเก่าออกแล้วติดตั้งสายใหม่ ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันครับว่า การเลือกซื้อสายสัญญาณควรจะดูอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนการตัดสินใจซื้อและนำไปใช้งาน

1.สายสัญญาณต้องผ่านการรับรองจากสถาบัน Underwriters’ Laboratories Inc. หรือ UL ทั้งด้านความปลอดภัยและด้านประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ANSI/TIA-568 และ ISO/IEC11801 ซึ่งแน่นอนว่าสายสัญญาณของ LINK ผ่านการรับรองทั้ง 2 ด้าน


2. สายสัญญาณต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน INTERTEK ETL และ 3P Testing ตามมาตรฐานสากล ANSI/TIA-568 และ ISO/IEC11801  ซึ่งก็อีกเช่นกันว่า LINK ผ่านการรับรองทั้ง 2 สถาบัน


*Multinational Inspection Product testing and certification COMPANY : (INTERTEK)

*Third Party Testing Laboratory EUROPE : (3P Testing)

     เมื่อเราพิจารณาตามมาตรฐานและหนังสือรับรองดังกล่าวนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องพิจารณาอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่ต่างกัน คือ การให้บริการหลังการขาย โดยต้องมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ และมีทีม Engineer Support เพื่อให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค, ด้านการออกแบบ, การติดตั้งและการทดสอบ ที่ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เรียกได้ว่าคอยให้การสนับสนุนตั้งแต่ก่อนการซื้อขายจนถึงกระบวนการส่งมอบงานกันเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ยึดถือและให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกเลยทีเดียว

     สุดท้าย สินค้าสายสัญญาณต้องมีการรับประกันจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพที่ดีจริง โดยผลิตภัณฑ์ LINK มีการรับประกันถึง 30 ปี เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และการเชื่อมต่อ ที่จะรองรับ Application  ในอนาคตอีกด้วย

Credit : Interlink